วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประเภทของการเชื่อมต่อ

ประเภทของการเชื่อมต่อ
การเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานเป็นสำคัญ เช่นใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลที่บ้าน ใช้ในเชิงธุรกิจ ใช้เพื่อความบันเทิง หรือใช้ภายในองค์กรขนาดใหญ่ ดังนั้นการเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตจึงมีความแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความต้องการ รวมทั้งเงินทุนที่จะใช้ในการติดตั้งระบบด้วย ปัจจุบันการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่นิยมใช้มี 5 ลักษณะ คือ
1. การเชื่อมต่อแบบ Dial Up
เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เคยได้รับความนิยมในยุคแรก ๆ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บุคคล กับสายโทรศัพท์บ้านที่เป็นสายตรงต่อเชื่อมเข้ากับโมเด็ม (Modem) ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตต้องทำการติดต่อกับผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านหมายเลขโทรศัพท์บ้าน โดยผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะกำหนดชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) มาให้เพื่อเข้าใช้บริการอินเตอร์เน็ต
2. การเชื่อมต่อแบบ ISDN (Internet Services Digital Network)
เป็นการเชื่อมต่อที่คล้ายกับแบบ Dial Up เพราะต้องใช้โทรศัพท์และโมเด็มในการเชื่อมต่อ ต่างกันตรงที่ระบบโทรศัพท์เป็นระบบความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยีระบบดิจิตอล (Digital) และต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ ISDN จะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ คือ
-ต้องติดต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ที่ให้บริการการเชื่อมต่อแบบ ISDN
-การเชื่อมต่อต้องใช้ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ
-ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่จะใช้บริการนี้ อยู่ในอาณาเขตที่ใช้บริการ ISDN ได้หรือไม่
3. การเชื่อมต่อแบบ DSL?(Digital Subscriber Line)
เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยใช้สายโทรศัพท์ธรรมดา ที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตและพูดผ่านสายโทรศัพท์ปกติได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตแบบ DSL ก็คือ
ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่ติดตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ให้บริการระบบโทรศัพท์แบบ DSL หรือไม่
บัญชีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในแบบ DSLการเชื่อมต่อต้องใช้ DSL Modem ในการเชื่อมต่อต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย
4. การเชื่อมต่อแบบ Cable
เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านสายสื่อสารเดียวกับ Cable TV จึงทำให้เราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อม ๆ กับการดูทีวีได้ โดยต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือใช้ Cable Modem เพื่อเชื่อมต่อ
ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย
5.การเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites)
เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า Direct Broadcast Satellites หรือ DBS โดยผู้ใช้ต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม
วิธีการตั้งค่า Modem Router



วิธีติดตั้งมือถือเป็นโมเด็ม ตอน1/2


วิธีติดตั้งมือถือเป็นโมเด็ม ตอน2/2



เซ็ตระบบเครื่อข่าย(Network)
 เซ็ตระบบเครื่อข่าย(Network) 1




 เซ็ตระบบเครื่อข่าย(Network)  2 (ต่อ)





 เซ็ตระบบเครื่อข่าย(Network)  3(ต่อ)


การตรวจสอบเครือข่าย


.



ข้อมูลอ้างอิง 

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การเชื่มต่ออินเตอร์เน็ท

ประเภทของเครือข่าย LAN MAN WAN PAN
1.เครือข่ายท้องถิ่น
         A local area network (LAN) is a network that connects computers and devices in a limited geographical area such as home, school, computer laboratory, office building, or closely positioned group of buildings. เครือข่ายท้องถิ่น (LAN) เป็นสิ่งปลูกสร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ จำกัด ทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นบ้าน, โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ห้องปฏิบัติการสำนักงาน, อาคาร, ตำแหน่งอย่างใกล้ชิดหรือกลุ่มของ Each computer or device on the network is a node. คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องหรืออุปกรณ์ในระบบเครือข่ายเป็นโหนด Current wired LANs are most likely to be based on Ethernet technology, although new standards like ITU-T G.hn also provide a way to create a wired LAN using existing home wires (coaxial cables, phone lines and power lines) LANs สายปัจจุบันมักจะเป็นไปตาม Ethernet เทคโนโลยีแม้ว่ามาตรฐานใหม่เช่น ITU - T G.hn ยังเป็นวิธีการสร้าง LAN แบบมีสายโดยใช้สายไฟบ้านที่มีอยู่ (สายคู่สายโทรศัพท์และสายไฟฟ้า) 
Typical library network, in a branching tree topology and controlled access to resources เครือข่ายห้องสมุดทั่วไปในโครงสร้างต้นไม้สาขาและควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรที่
         All interconnected devices must understand the network layer (layer 3), because they are handling multiple subnets (the different colors). ทั้งหมดอุปกรณ์เชื่อมต่อกันเครือข่ายจะต้องเข้าใจชั้น (3 ชั้น) เพราะพวกเขามีการจัดการย่อยหลาย ๆ (สีที่แตกต่างกัน) Those inside the library, which have only 10/100 Mbit/s Ethernet connections to the user device and a Gigabit Ethernet connection to the central router, could be called "layer 3 switches" because they only have Ethernet interfaces and must understand  ผู้ที่อยู่ภายในห้องสมุดซึ่งมีเพียง 10/100 Mbit / s Ethernet การเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้และการเชื่อมต่อ Gigabit Ethernet ให้เราเตอร์กลางอาจจะเรียกว่า"ชั้น 3 สวิทช์"เพราะพวกเขาเพียง แต่มีอินเตอร์เฟสอีเธอร์เน็ตและจะต้องเข้าใจ It would be more correct to call them access routers, where the router at the top is a distribution router that connects to the Internet and academic networks' customer access routers. มันจะมากกว่าที่ถูกต้องจะโทรไปบอกเราเตอร์เข้าที่เราเตอร์ที่ด้านบนเป็นเรา เตอร์การกระจายที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายทางวิชาการ'เราเตอร์ การเข้าถึงลูกค้า
       The defining characteristics of LANs, in contrast to WANs (Wide Area Networks), include their higher data transfer rates, smaller geographic range, and no need for leased telecommunication lines. ลักษณะเฉพาะของ LANs ในทางตรงกันข้าม WANs (Wide Area Networks), รวมถึงข้อมูลของพวกเขาสูงกว่าอัตราการถ่ายโอนช่วงทางภูมิศาสตร์ที่มีขนาด เล็กและความจำเป็นในการเช่าสายโทรคมนาคมไม่ Current Ethernet or other IEEE 802.3 LAN technologies operate at speeds up to 10 Gbit/s. ปัจจุบันอีเธอร์เน็ตหรืออื่น ๆ IEEE 802.3 LAN เทคโนโลยีการทำงานที่ความเร็วถึง 10 Gbit / s This is the data transfer rate. IEEE has projects investigating the standardization of 40 and 100 Gbit/s. นี่คือการถ่ายโอนข้อมูลอัตรา IEEE มีโครงการตรวจสอบมาตรฐานของเอส 40 และ 100 Gbit /
2.เครือข่ายพื้นที่ส่วนบุคคล
          A personal area network (PAN) is a computer network used for communication among computer and different information technological devices close to one person. เครือข่ายพื้นที่ส่วนบุคคล (PAN) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่อง คอมพิวเตอร์และข้อมูลทางเทคโนโลยีใกล้เคียงกับอุปกรณ์ที่แตกต่างกันหนึ่งคน Some examples of devices that are used in a PAN are personal computers, printers, fax machines, telephones, PDAs, scanners, and even video game consoles. ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่ใช้ในกระทะมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องพิมพ์เครื่องแฟกซ์, โทรศัพท์, PDA, สแกนเนอร์และแม้แต่วิดีโอเกมคอนโซล A PAN may include wired and wireless devices. แพนอาจรวมถึงการมีสายและอุปกรณ์ไร้สาย The reach of a PAN typically extends to 10 meters. A wired PAN is usually constructed with USB and Firewire connections while technologies such as Bluetooth and infrared communication typically form a wireless PAN. PAN เข้าถึงของมักจะขยายไปถึง 10 เมตร สายปันมีการก่อสร้างมักจะมีการเชื่อมต่อ USB และ Firewire ในขณะที่เทคโนโลยี         เช่นบลูทูธ และอินฟราเรดโดยทั่วไปรูปแบบการสื่อสารแบบไร้สายแพน



3. Metropolitan Area Network (MAN)        Metropolitan Area Network คือ เครือข่ายข้อมูล ที่ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN เช่น การเชื่อมต่อระหว่างองค์กรต่างๆ ภายในอําเภอหรือจังหวัด เป็นลักษณะการนำเครือข่าย LAN หลายๆ เครือข่ายที่อยู่ห่างกันมาต่อถึงกันผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น ไมโครเวฟ (Microwave),คลื่นวิทยุ, ผ่านดาวเทียม, คู่สายสัญญาณเช่า (Leased line), หรือ ทางดิจิตอลสคริปเบอร์ (DSL) โดยการเชื่อมต่อระหว่างแต่ละเครือข่ายนั้นอาจมีความเร็วไม่สูงมาก
4. Wide Area Networks (WAN)
       Wide Area Networks (WAN) คือ เครือข่ายที่เกิดจากการเชื่อมต
อเครือข่ายแบบ LAN ที่อยู่ห่างไกลกันมากๆ เข้าด้วยกัน โดยจะที่ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่กว่าแบบ MAN เช่น การเชื่อมตอระบบเครือข่ายระหว่างจังหวัด หรือระหว่างประเทศ โดยจะเชื่อมต่อด้วย คู่สายเช่า (Leased line) ระบบไมโครเวฟ หรือผ่านดาวเทียม และการเชื่อมต่อระหว่างแต่ละโหนดนั้นอาจมีความเร็วไม่สูงมาก

internet work 3

1.)การทำงานของเว็บไชต์ www.google.com
เกิล สร้างจากภาษาPython ทำงานเร็ว และมีประสิทธิภาพสูง มีการIndexข้อมูลโดยการเก็บข้อมูลลงฐานข้อมูล และดึงข้อมูลมาจากฐานข้อมูลหลายแห่ง
กูเกิลจะเริ่มทำการ Index ข้อมูลเมื่อ
         -1. ผู้ดูแลเว็บมีการแจ้งให้บอทของกูเกิลทราบว่ามีเว็บไซด์เกิดขึ้น บอทก็จะเริ่มเข้าตรวจสอบเว็บ นั้นๆ และเก็บลงฐานข้อมมูลของกูเกิล
         -2. เมื่อเจ้าของเว็บลงทะเบียบเว็บไซด์กับเว็บไดเร็กทอรี่ ที่กูเกิลใช้ฐานข้อมูลร่วนกัน
         -3. เมื่อบอทของกูเกิล ไต่ไปตามลิงค์จากเว็บไซด์อื่น แล้วพบลิงค์ที่เชื่อมมายังเว็บไซด์ของเรา กูเกิลบอทก็จะเข้ามาที่เว็บไซด์ของเรา แล้วทำการเก็บข้อมูล เว็บไซด์ทั้งหมด ลงฐานข้อมมูล
โดย ทั้งหมดนั้น จะถูกจัดเก็บโดยการแบ่งรายละเอียดออกเป็นส่วนๆอย่างละเอียด โดยสิ่งสำคัญ คือ การตรวจสอบเนื้อหาเว็บไซด์ว่ามีคำไหน อยู่ตรงไหน กี่คำ หัวข้อสำคัญมีอะไรบ้าง แล้วในหัวข้อนั้นๆ ลิงค์ไปไหน แล้วลิงค์ที่ไป มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ลักษณะนี้ครับ อย่างคร่าวๆ
ส่วนเรื่องการดึงข้อมูลมาแสดง เวลาเราค้นหา ทุกคำที่พิมพ์ ถูกแยกจัดเก็บไว้แล้ว ตัวอย่าง เช่น เราค้นหาคำว่า "การทำงานของกูเกิล" กูเกิลจะเริ่มใช้ตรรกะการค้นหา โดย แยก แต่ละคำออกจากกัน เป็น "การ"+"ทำ"+"งาน"+"ของ"+"กูเกิล" แล้วนำไปเปรียบเทียบ คำค้นจากฐานข้อมูลทั้งหมด แล้วอ่านจากฐานข้อมูลว่า เว็บไซด์ไหนมี คำเหล่านั้น มากที่สุด เกี่ยวข้องมากที่สุด แล้วนำมาแสดงตามลำดับครับ คงเหมือนกับการที่เราไปเที่ยวห้าง แล้วรู้ว่า เมื่อไหร่เราจะซื้ออะไรสักอย่าง เราควรไปห้างไหนถึงจะมีของที่เราต้องการให้เลือก และตรงความต้องการของเราที่สุด เราจะเลือกไปห้างนั้นก่อน กูเกิลก็คล้ายๆกันครับ
ซึ่ง นี้คือหตุผลว่าทำไม จึงเกิดการ ทำ SEO SEM PPC Adsense และระบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย



------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.)โปรโตคอลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานอินเตอร์เน็ท
TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol) เป็นชุดของโปรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะผ่านเครือข่ายที่มีปัญหา โปรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางอื่นในการส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางได้
ชุดโปรโตคอลนี้ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งถูกใช้เป็นครั้งแรกในเครือข่าย ARPANET ซึ่งต่อมาได้ขยายการเชื่อมต่อไปทั่วโลกเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้ TCP/IP เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน
TCP/IP Protocol
TCP/IP มีจุดประสงค์ของการสื่อสารตามมาตรฐาน สามประการคือ
1. เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างระบบที่มีความแตกต่างกัน
2. ความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่าย เช่นในกรณีที่ผู้ส่งและผู้รับยังคงมีการติดต่อกันอยู่ แต่โหนดกลางทีใช้เป็นผู้ช่วยรับ-ส่งเกิดเสียหายใช้การไม่ได้ หรือสายสื่อสารบางช่วงถูกตัดขาด กฎการสื่อสารนี้จะต้องสามารถจัดหาทางเลือกอื่นเพื่อทำให้การสื่อสารดำเนินต่อไปได้โดยอัตโนมัติ
3. มีความคล่องตัวต่อการสื่อสารข้อมูลได้หลายชนิดทั้งแบบที่ไม่มีความเร่งด่วน เช่น การจัดส่งแฟ้มข้อมูล และแบบที่ต้องการรับประกันความเร่งด่วนของข้อมูล เช่น การสื่อสารแบบ real-time และทั้งการสื่อสารแบบเสียง (Voice) และข้อมูล (data)
Encapsulation/Demultiplexing
การส่งข้อมูลผ่านในแต่ละเลเยอร์ แต่ละเลเยอร์จะทำการประกอบข้อมูลที่ได้รับมา กับข้อมูลส่วนควบคุมซึ่งถูกนำมาไว้ในส่วนหัวของข้อมูลเรียกว่า Header ภายใน Header จะบรรจุข้อมูลที่สำคัญของโปรโตคอลที่ทำการ Encapsulate เมื่อผู้รับได้รับข้อมูล ก็จะเกิดกระบวนการทำงานย้อนกลับคือ โปรโตคอลเดียวกัน ทางฝั่งผู้รับก็จะได้รับข้อมูลส่วนที่เป็น Header ก่อนและนำไปประมวลและทราบว่าข้อมูลที่ตามมามีลักษณะอย่างไร ซึ่งกระบวนการย้อนกลับนี้เรียกว่า Demultiplexing


ข้อมูลที่ผ่านการ Encapsulate ในแต่ละเลเยอร์มีชื่อเรียกแตกต่างกัน ดังนี้

ข้อมูลที่มาจาก User หรือก็คือข้อมูลที่ User เป็นผู้ป้อนให้กับ Application เรียกว่า User Data
เมื่อแอพพลิเคชั่นได้รับข้อมูลจาก user ก็จะนำมาประกอบกับส่วนหัวของแอพพลิเคชั่น เรียกว่า Application Data และส่งต่อไปยังโปรโตคอล TCP
เมื่อโปรโตคอล TCP ได้รับ Application Data ก็จะนำมารวมกับ Header ของ โปรโตคอล TCP เรียกว่า TCP Segment และส่งต่อไปยังโปรโตคอล IP
เมื่อโปรโตคอล IP ได้รับ TCP Segment ก็จะนำมารวมกับ Header ของ โปรโตคอล IP เรียกว่า IP Datagram และส่งต่อไปยังเลเยอร์ Host-to-Network Layer
ในระดับ Host-to-Network จะนำ IP Datagram มาเพิ่มส่วน Error Correction และ flag เรียกว่า Ethernet Frame ก่อนจะแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งผ่านสายสัญญาณที่เชื่อมโยงอยู่ต่อไป
ในแต่ละเลเยอร์ของโครงสร้าง TCP/IP สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. ชั้นโฮสต์-เครือข่าย (Host-to-Network Layer)
โพรโตคอลสำหรับการควบคุมการสื่อสารในชั้นนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีการกำหนดรายละเอียดอย่างเป็นทางการ หน้าที่หลักคือการรับข้อมูลจากชั้นสื่อสาร IP มาแล้วส่งไปยังโหนดที่ระบุไว้ในเส้นทางเดินข้อมูลทางด้านผู้รับก็จะทำงานในทางกลับกัน คือรับข้อมูลจากสายสื่อสารแล้วนำส่งให้กับโปรแกรมในชั้นสื่อสาร
2. ชั้นสื่อสารอินเทอร์เน็ต (The Internet Layer)
ใช้ประเภทของระบบการสื่อสารที่เรียกว่า ระบบเครือข่ายแบบสลับช่องสื่อสารระดับแพ็กเก็ต (packet-switching network) ซึ่งเป็นการติดต่อแบบไม่ต่อเนื่อง (Connectionless) หลักการทำงานคือการปล่อยให้ข้อมูลขนาดเล็กที่เรียกว่า แพ็กเก็ต (Packet) สามารถไหลจากโหนดผู้ส่งไปตามโหนดต่างๆ ในระบบจนถึงจุดหมายปลายทางได้โดยอิสระ หากว่ามีการส่งแพ็กเก็ตออกมาเป็นชุดโดยมีจุดหมายปลายทางเดียวกันในระหว่างการเดินทางในเครือข่าย แพ็กเก็ตแต่ละตัวในชุดนี้ก็จะเป็นอิสระแก่กันและกัน ดังนั้น แพ็กเก็ตที่ส่งไปถึงปลายทางอาจจะไม่เป็นไปตามลำดับก็ได้
2.1   IP (Internet Protocol)
IP เป็นโปรโตคอลในระดับเน็ตเวิร์คเลเยอร์ ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับแอดเดรสและข้อมูล และควบคุมการส่งข้อมูลบางอย่างที่ใช้ในการหาเส้นทางของแพ็กเก็ต ซึ่งกลไกในการหาเส้นทางของ IP จะมีความสามารถในการหาเส้นทางที่ดีที่สุด และสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้ในระหว่างการส่งข้อมูล และมีระบบการแยกและประกอบดาต้าแกรม (datagram) เพื่อรองรับการส่งข้อมูลระดับ data link ที่มีขนาด MTU (Maximum Transmission Unit) ทีแตกต่างกัน ทำให้สามารถนำ IP ไปใช้บนโปรโตคอลอื่นได้หลากหลาย เช่น Ethernet ,Token Ring หรือ Apple Talk
การเชื่อมต่อของ IP เพื่อทำการส่งข้อมูล จะเป็นแบบ connectionless หรือเกิดเส้นทางการเชื่อมต่อในทุกๆครั้งของการส่งข้อมูล 1 ดาต้าแกรม โดยจะไม่ทราบถึงข้อมูลดาต้าแกรมที่ส่งก่อนหน้าหรือส่งตามมา แต่การส่งข้อมูลใน 1 ดาต้าแกรม อาจจะเกิดการส่งได้หลายครั้งในกรณีที่มีการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยๆ (fragmentation) และถูกนำไปรวมเป็นดาต้าแกรมเดิมเมื่อถึงปลายทาง
ความหมายดังนี้
Version : หมายเลขเวอร์ชันของโปรโตคอล ที่ใช้งานในปัจจุบันคือ เวอร์ชัน 4 (IPv4) และเวอร์ชัน 6 (IPv6)
Header Length : ความยาวของเฮดเดอร์ โดยทั่วไปถ้าไม่มีส่วน option จะมีค่าเป็น 5 (5*32 bit)
Type of Service (TOS) : ใช้เป็นข้อมูลสำหรับเราเตอร์ในการตัดสินใจเลือกการเราต์ข้อมูลในแต่ละดาต้าแกรม แต่ในปัจจุบันไม่ได้มีการนำไปใช้งานแล้ว
Length : ความยาวทั้งหมดเป็นจำนวนไบต์ของดาต้าแกรม ซึ่งด้วยขนาด 16 บิตของฟิลด์ จะหมายถึงความยาวสูงสุดของดาต้าแกรม คือ 65535 byte (64k) แต่ในการส่งข้อมูลจริง ข้อมูลจะถูกแยกเป็นส่วนๆตามขนาดของ MTU ที่กำหนดในลิงค์เลเยอร์ และนำมารวมกันอีกครั้งเมื่อส่งถึงปลายทาง แอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่จะมีขนาดของดาต้าแกรมไม่เกิน 512 byte
Identification : เป็นหมายเลขของดาต้าแกรมในกรณีที่มีการแยกดาต้าแกรมเมื่อข้อมูลส่งถึงปลายทางจะนำข้อมูลที่มี identification เดียวกันมารวมกัน
Flag : ใช้ในกรณีที่มีการแยกดาต้าแกรม
Fragment Offset : ใช้ในการกำหนดตำแหน่งข้อมูลในดาต้าแกรมที่มีการแยกส่วน เพื่อให้สามารถนำกลับมาเรียงต่อกันได้อย่างถูกต้อง
Time to Live (TTL) : กำหนดจำนวนครั้งที่มากที่สุดที่ดาต้าแกรมจะถูกส่งระหว่าง hop (การส่งผ่านข้อมูลระหว่างเน็ตเวิร์ค) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการส่งข้อมูลโดยไม่สิ้นสุด โดยเมื่อข้อมูลถูกส่งไป 1 hop จะทำการลดค่า TTL ลง 1 เมื่อค่าของ TTL เป็น 0 และข้อมูลยังไม่ถึงปลายทาง ข้อมูลนั้นจะถูกยกเลิก และเราเตอร์สุดท้ายจะส่งข้อมูล ICMP แจ้งกลับมายังต้นทางว่าเกิด time out ในระหว่างการส่งข้อมูล
Protocol : ระบุโปรโตคอลที่ส่งในดาต้าแกรม เช่น TCP ,UDP หรือ ICMP
Header Checksum : ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในเฮดเดอร์
Source IP Address : หมายเลข IP ของผู้ส่งข้อมูล
Destination IP Address : หมายเลข IP ของผู้รับข้อมูล
Data : ข้อมูลจากโปรโตคอลระดับบน
2.2   ICMP (Internet Control Message Protocol)
ICMP เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการตรวจสอบและรายงานสถานภาพของดาต้าแกรม (Datagram) ในกรณีที่เกิดปัญหากับดาต้าแกรม เช่น เราเตอร์ไม่สามารถส่งดาต้าแกรมไปถึงปลายทางได้ ICMP จะถูกส่งออกไปยังโฮสต้นทางเพื่อรายงานข้อผิดพลาด ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า ICMP Message ที่ส่งไปจะถึงผู้รับจริงหรือไม่ หากมีการส่งดาต้าแกรมออกไปแล้วไม่มี ICMP Message ฟ้อง Error กลับมา ก็แปลความหมายได้สองกรณีคือ ข้อมูลถูกส่งไปถึงปลายทางอย่างเรียบร้อย หรืออาจจะมีปัญหา ในการสื่อสารทั้งการส่งดาต้าแกรม และ ICMP Message ที่ส่งกลับมาก็มีปัญหาระว่างทางก็ได้ ICMP จึงเป็นโปรโตคอลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ (unreliable) ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของ โปรโตคอลในระดับสูงกว่า Network Layer ในการจัดการให้การสื่อสารนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือ
ในส่วนของ ICMP Message จะประกอบด้วย Type ขนาด 8 บิต Checksum ขนาด 16 บิต และส่วนของ Content ซึ่งจะมีขนาดแตกต่างกันไปตาม Type และ Code ดังรูป
3. ชั้นสื่อสารนำส่งข้อมูล (Transport Layer)
แบ่งเป็นโพรโตคอล 2 ชนิดตามลักษณะ ลักษณะแรกเรียกว่า Transmission Control Protocol (TCP) เป็นแบบที่มีการกำหนดช่วงการสื่อสารตลอดระยะเวลาการสื่อสาร (connection-oriented) ซึ่งจะยอมให้มีการส่งข้อมูลเป็นแบบ Byte stream ที่ไว้ใจได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ข้อมูลที่มีปริมาณมากจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ เรียกว่า message ซึ่งจะถูกส่งไปยังผู้รับผ่านทางชั้นสื่อสารของอินเทอร์เน็ต ทางฝ่ายผู้รับจะนำ message มาเรียงต่อกันตามลำดับเป็นข้อมูลตัวเดิม TCP ยังมีความสามารถในการควบคุมการไหลของข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ส่ง ส่งข้อมูลเร็วเกินกว่าที่ผู้รับจะทำงานได้ทันอีกด้วย
โปรโตคอลการนำส่งข้อมูลแบบที่สองเรียกว่า UDP (User Datagram Protocol) เป็นการติดต่อแบบไม่ต่อเนื่อง (connectionless) มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแต่จะไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่ง จึงถือได้ว่าไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มีข้อดีในด้านความรวดเร็วในการส่งข้อมูล จึงนิยมใช้ในระบบผู้ให้และผู้ใช้บริการ (client/server system) ซึ่งมีการสื่อสารแบบ ถาม/ตอบ (request/reply) นอกจากนั้นยังใช้ในการส่งข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหวหรือการส่งเสียง (voice) ทางอินเทอร์เน็ต
3.1   UDP : (User Datagram Protocol)
เป็นโปรโตคอลที่อยู่ใน Transport Layer เมื่อเทียบกับโมเดล OSI โดยการส่งข้อมูลของ UDP นั้นจะเป็นการส่งครั้งละ 1 ชุดข้อมูล เรียกว่า UDP datagram ซึ่งจะไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างดาต้าแกรมและจะไม่มีกลไกการตรวจสอบความสำเร็จในการรับส่งข้อมูล
กลไกการตรวจสอบโดย checksum ของ UDP นั้นเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลที่อาจจะถูกแก้ไข หรือมีความผิดพลาดระหว่างการส่ง และหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ปลายทางจะได้รู้ว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แต่มันจะเป็นการตรวจสอบเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น โดยในข้อกำหนดของ UDP หากพบว่า Checksum Error ก็ให้ผู้รับปลายทางทำการทิ้งข้อมูลนั้น แต่จะไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่งแต่อย่างใด การรับส่งข้อมูลแต่ละครั้งหากเกิดข้อผิดพลาดในระดับ IP เช่น ส่งไม่ถึง, หมดเวลา ผู้ส่งจะได้รับ Error Message จากระดับ IP เป็น ICMP Error Message แต่เมื่อข้อมูลส่งถึงปลายทางถูกต้อง แต่เกิดข้อผิดพลาดในส่วนของ UDP เอง จะไม่มีการยืนยัน หรือแจ้งให้ผู้ส่งทราบแต่อย่างใด



มีรายละเอียดดังนี้
Source Port Number : หมายเลขพอร์ตต้นทางที่ส่งดาต้าแกรมนี้
Destination Port Number : หมายเลขพอร์ตปลายทางที่จะเป็นผู้รับดาต้าแกรม
UDP Length : ความยาวของดาต้าแกรม ทั้งส่วน Header และ data นั่นหมายความว่า ค่าที่น้อยที่สุดในฟิลด์นี้คือ 8 ซึ่งเป็นขนาดของ Header
Checksum : เป็นตัวตรวจสอบความถูกต้องของ UDP datagram และจะนำข้อมูลบางส่วนใน IP Header มาคำนวณด้วย

3.2   TCP : (Transmission Control Protocol)
อยู่ใน Transport Layer เช่นเดียวกับ UDP ทำหน้าที่จัดการและควบคุมการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีความสามารถและรายละเอียดมากกว่า UDP โดยดาต้าแกรมของ TCP จะมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน และมีกลไกควบคุมการรับส่งข้อมูลให้มีความถูกต้อง (reliable) และมีการสื่อสารอย่างเป็นกระบวนการ (connection-oriented)

มีรายละเอียด ดังนี้
Source Port Number : หมายเลขพอร์ตต้นทางที่ส่งดาต้าแกรมนี้
Destination Port Number : หมายเลขพอร์ตปลายทางที่จะเป็นผู้รับดาต้าแกรม
Sequence Number : ฟิลด์ที่ระบุหมายเลขลำดับอ้างอิงในการสื่อสารข้อมูลแต่ละครั้ง เพื่อใช้ในการแยกแยะว่าเป็นข้อมูลของชุดใด และนำมาจัดลำดับได้ถูกต้อง
Acknowledgment Number : ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Sequence Number แต่จะใช้ในการตอบรับ
Header Length : โดยปกติความยาวของเฮดเดอร์ TCP จะมีความยาว 20 ไบต์ แต่อาจจะมากกว่านั้น ถ้ามีข้อมูลในฟิลด์ option แต่ต้องไม่เกิน 60 ไบต์
Flag : เป็นข้อมูลระดับบิตที่อยู่ในเฮดเดอร์ TCP โดยใช้เป็นตัวบอกคุณสมบัติของแพ็กเก็ต TCP ขณะนั้นๆ และใช้เป็นตัวควบคุมจังหวะการรับส่งข้อมูลด้วย ซึ่ง Flag มีอยู่ทั้งหมด 6 บิต แบ่งได้ดังนี้
Type
Description
URG
ใช้บอกความหมายว่าเป็นข้อมูลด่วน และมีข้อมูลพิเศษมาด้วย (อยู่ใน Urgent Pointer)
ACK
แสดงว่าข้อมูลในฟิลด์ Acknowledge Number นำมาใช้งานได้
DSH
เป็นการแจ้งให้ผู้รับข้อมูลทราบว่าควรจะส่งข้อมูล Segment นี้ไปยัง Application ที่กำลังรออยู่โดยเร็ว
RST
ยกเลิกการติดต่อ (Reset) เนื่องจากในกรณีที่เกิดการสับสนขึ้นด้วยเหตุผลต่างๆ เช่นโฮสต์มีปัญหา ให้เริ่มสื่อสารใหม่
SYN
ใช้ในการเริ่มต้นขอติดต่อกับปลายทาง
FIN
ใช้ส่งเพื่อแจ้งให้ปลายทางทราบว่ายุติการติดต่อ

Flag ในเฮดเดอร์ของ TCP มีความสำคัญในการกำหนดการทำงานของ TCP segment เนื่องจากข้อมูลในเฮดเดอร์ของ TCP จะมีข้อมูลครบถ้วนทั้งการรับและการส่งข้อมูล ซึ่งในการสทำงานแต่ละอย่างจะมีการใช้งานฟิลด์ไม่เหมือนกัน flag จะเป็นตัวกำหนดว่าให้ใช้งานฟิลด์ไหน เช่น ฟิลด์ Acknowledgment number จะไม่ถูกใช้ในขั้นตอนการเริ่มต้นการเชื่อมต่อ แต่จะมีข้อมูลในฟิลด์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีความหมายใดๆ ซึ่งถ้าไม่มี flag เป็นตัวกำหนดก้ออาจจะมีการนำข้อมูลมาใช้ และก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
เมื่อเซกเมนต์ CONNECT (SYN = “1” และ ACK = “0”) เดินทางมาถึง Entity TCP ที่โฮสต์ปลายทางจะค้นหาโพรเซสตามหมายเลขพอร์ตที่กำหนดในเขตข้อมูล Destination port ซึ่งถ้าหากไม่พบก็จะตอบปฏิเสธด้วยเซกเมนต์ที่มี RST = “1” กลับไปยังผู้ส่ง เซกเมนต์ CONNECT ของผู้ส่งจะถูกส่งต่อไปยังโพรเซส ตามพอร์ตที่ระบุซึ่งอาจจะตอบรับหรือตอบปฏิเสธก็ได้ ถ้าโพรเซสนั้นต้องการสื่อสารด้วยก็จะส่งเซกเมนต์ตอบรับกลับไป รูปที่ 6-1 แสดงลำดับขั้นตอนการส่ง TCP เซกเมนต์ในการสร้างการเชื่อมต่อในสภาวะปกติระหว่างผู้ส่งและผู้รับ
3.2.2   การเริ่มต้นการสื่อสารของ TCP โดยใช้การบันทึกเวลาแบบ Three-way Handshake
Three-way Handshake เป็นวิธีการส่งแพ็กเก็ตที่สามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องแพ็กเก็ตซ้ำซ้อนได้ดี แต่วิธีนี้จำเป็นจะต้องสร้างช่องสื่อสารให้ได้ก่อนที่จะเริ่มรับ-ส่งข้อมูล อย่างไรก็ตาม แพ็กเก็ตควบคุมที่ใช้ในการต่อรองค่าตัวแปรสำหรับการสื่อสารต่างๆ อาจเกิดการตกค้างอยู่ในระบบได้ ทำให้การกำหนดค่าหมายเลขลำดับมีปัญหาไปด้วย เช่นการสร้างช่องสื่อสารระหว่างโฮสต์1 และ โฮสต์2 เริ่มจาก โฮสต์1 ขอเริ่มการเชื่อต่อด้วยการส่งแพ็กเก็ต CR (Connection Request) ไปยังโฮสต์2 ซึ่งจะมีค่าตัวแปรต่างๆสำหรับการสื่อสารรวมทั้งหมายเลขลำดับและหมายเลขช่องสื่อสารไปด้วย ผู้รับคือโฮสต์2 ก็จะส่ง ACK (Acknowledge) กลับมายังโฮสต์1 แต่ถ้าแพ็กเก็ต จากผู้ส่งเกิดสูญหายระหว่างทางและสำเนาแพ็กเก็ตที่ยังตกค้างอยู่ระบบเกิดเดินทางไปถึงผู้รับในภายหลังก็จะทำให้การสร้างช่องสื่อสารใช้การไม่ได้เนื่องจากมีค่าตัวแปรต่างๆไม่ตรงกัน
การใช้ Three-way handshake เป็นการไม่บังคับให้ผู้ส่งและผู้รับข้อมูลจะต้องกำหนดค่าเริ่มต้นของหมายเลขลำดับเป็นเลขเดียวกัน ทำให้สามารถนำวิธีนี้มาใช้ร่วมกับวิธีการจัดจังหวะการทำงานให้พร้อมกัน (Synchronization) แบบต่างๆได้ แทนที่จะเป็นการใช้วิธีการบันทึกเวลา ดังรูปที่ 7-1 แสดงขั้นตอนการเริ่มต้นการทำงานจากโฮสต์ 1 ไปยังโฮสต์ 2 สมมุติให้โฮสต์ 1 เลือกหมายเลขลำดับเป็น “x” และส่งแพ็กเก็ต CONNECTION REQUEST ไปยังโฮสต์ 2 โฮสต์ 2 ตอบรับด้วยแพ็กเก็ต CONNECTION ACCEPTED ซึ่งจะยอมรับหมายเลขลำดับ “x” พร้อมกับประกาศหมายเลขลำดับ “y” ที่เป็นของตนเอง จากนั้นโฮสต์ 1 ก็จะตอบรับค่าตัวเลือกของโฮสต์ 2 ผ่านทางเขตข้อมูลสำหรับการควบคุมในแพ็กเก็ตข้อมูลแรกที่ส่งมา
สมมติว่าได้เกิดปัญหาการสูญหายของแพ็กเก็ตในขณะที่สำเนาแพ็กเก็ตที่ค้างในระบบเดินทางไปถึงผู้รับแทน รูปที่7-2 แสดงเหตุการณ์ที่แพ็กเก็ตTPDU (ตัวแรกในรูป) เป็นสำเนาแพ็กเก็ตเก่าที่พึ่งจะเดินทางไปถึงโฮสต์ 2 โดยที่โฮสต์ 1 ไม่ทราบ โฮสต์ 2 ก็จะทำงานตามปกติคือจะตอบรับด้วยการส่งแพ็กเก็ต CONNECTION ACCEPTED TPDU กลับมา ที่โฮสต์ 1 ซึ่งโฮสต์1 จะสามารถตรวจสอบได้ว่า หมายเลขลำดับโฮสต์2 ตอบกลับมานั้นเป็นหมายเลขลำดับที่ได้เลิกใช้ไปแล้ว จึงมีการส่งแพ็กเก็ต REJECTกลับมายังโฮสต์ 2 เพื่อบอกยกเลิกการทำงาน จะเห็นว่าวิธีการนี้อาศัยการสื่อสารผ่านแพ็กเก็ต 3 ตัวซึ่งเป็นที่มาของคำว่าการจับมือร่วมสามขั้นตอนผลสุดท้าย ทั้งโฮสต์ 1 และโฮสต์ 2 ก็จะไม่มีการสร้างช่องสื่อสารขึ้นมาจากข้อมูลในสำเนาแพ็กเก็ตเก่าแต่อย่างใด

4. ชั้นสื่อสารการประยุกต์ (Application Layer)
มีโพรโตคอลสำหรับสร้างจอเทอร์มินัลเสมือน เรียกว่า TELNET โพรโตคอลสำหรับการจัดการแฟ้มข้อมูล เรียกว่า FTP และโพรโตคอลสำหรับการให้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า SMTP โดยโพรโตคอลสำหรับสร้างจอเทอร์มินัลเสมือนช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อกับเครื่องโฮสต์ที่อยู่ไกลออกไปโดยผ่านอินเทอร์เน็ต และสามารถทำงานได้เสมือนกับว่ากำลังนั่งทำงานอยู่ที่เครื่องโฮสต์นั้น 

บทสรุป
TCP/IP นี้มีการออกแบบเป็นเวลานาน และได้ปรับปรุงไปเรื่อยๆ เพื่อให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก้อตามโปรโตคอลชุดนี้ก้อยังมีจุดบกพร่องอีกมาก http://www.us-cert.gov/cas/techalerts/index.html และจุดบกพร่องเหล่านี้อาจเป็นนำมาเป็นเครื่องมือใช้ในการโจมตีของเหล่าแฮกเกอร์ได้ การเรียนรู้พื้นฐานด้าน TCP/IP นี้เป็นพื้นฐานเพื่อที่จะศึกษาเรื่องข้อบกพร่องของโปรโตคอล ผลกระทบ และวิธีการป้องกันตัวเองจากการโจมตีของแฮกเกอร์ต่อไป

เอกสารอ้างอิง
[1] Andrew S. Tanenbaum. Computer Networks. หน้า32-35 , 432-434 , 463-465
[2] เรืองไกร รังสิพล. เจาะระบบ TCP/IP : จุดอ่อนของโปรโตคอลและวิธีป้องกัน . บริษัท โปรวิชั่น จำกัด. 2001

วิธีการหาหมาเลข IP ของเว็บแต่ละเว็บไซต์

วิธีการหาหมายเลข IP ของเว็บแต่ละเว็บไซร
IP address บนอินเตอร์เน็ต
เมื่อเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต สามารถหา IP จริงของเราได้ โดยเข้าไปตรวจสอบที่เว็บ                          ไซต์ http://whatismyipaddress.com/ เมื่อเข้าไปที่หน้าแรกแล้ว จะปรากฎหมายเลข IP ของเราขึ้นมาโดยอัตโนมัติครับ นอกจากนี้แล้วจะมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และพื้นที่ที่ใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ด้วย
วิธีการหา
- 1.เข้าไปเว็บไชต์ http://cqcounter.com/whois/
- 2. จะปรากฏ

-3.ให้ใส่เว็บที่เราต้องการดูเช่น http://www.google.com/

-4.จากนั้นให้เราใส่อักษรที่เราให้แล้วคลิ๊ก Continut

-5.จะแสดงหมายเลข IP เว็บที่เราต้องการ

GOOGLE.COM - Domain Informationnew
DomainGOOGLE.COM   [ Site Info  Traceroute  RBL/DNSBL lookup ]
RegistrarMARKMONITOR INC.
Registrar URLhttp://www.markmonitor.com
Whois serverwhois.markmonitor.com
Created15-Sep-1997
Updated20-Jul-2011
Expires14-Sep-2020
Time Left2977 days 20 hours 55 minutes
StatusclientDeleteProhibited clientTransferProhibited clientUpdateProhibited serverDeleteProhibited serverTransferProhibited serverUpdateProhibited
DNS serversNS1.GOOGLE.COM   216.239.32.10
NS2.GOOGLE.COM   216.239.34.10
NS3.GOOGLE.COM   216.239.36.10
NS4.GOOGLE.COM   216.239.38.10
GOOGLE.COM - Geo Information
IP Address74.125.225.70   74.125.225.71   74.125.225.72   74.125.225.73   74.125.225.78   74.125.225.64   74.125.225.65   74.125.225.66   74.125.225.67   74.125.225.68   74.125.225.69  
Hostgoogle.com
LocationUS US, United States
CityMountain View, CA 94043
OrganizationGoogle
ISPGoogle
AS NumberAS15169 Google Inc.
Latitude37°41'92" North
Longitude122°05'74" West
Distance10443.65 km (6489.38 miles)

SANOOK.COM - Domain Informationnew
DomainSANOOK.COM   [ Site Info  Traceroute  RBL/DNSBL lookup ]
RegistrarNETWORK SOLUTIONS, LLC.
Registrar URLhttp://www.networksolutions.com/en_US/
Whois serverwhois.networksolutions.com
Created14-Jan-1997
Updated23-Dec-2011
Expires13-Jan-2015
Time Left906 days 20 hours 51 minutes
StatusclientTransferProhibited
DNS serversNS01.MWEBTH.COM   203.107.164.239
NS02.MWEBTH.COM   203.107.165.239
SANOOK.COM - Geo Information
IP Address203.107.165.221   203.107.164.221  
Hostsanook.com
LocationTH TH, Thailand
City-, - -
OrganizationKSC Commercial Internet Co. Ltd.
ISPKSC Commercial Internet Co. Ltd.
AS NumberAS7693 KSC Commercial Internet Co. Ltd.
Latitude15°00'00" North
Longitude100°00'00" East
Distance7803.62 km (4848.95 miles)

FACEBOOK.COM - Domain Informationnew
DomainFACEBOOK.COM   [ Site Info  Traceroute  RBL/DNSBL lookup ]
RegistrarMARKMONITOR INC.
Registrar URLhttp://www.markmonitor.com
Whois serverwhois.markmonitor.com
Created29-Mar-1997
Updated25-Apr-2012
Expires30-Mar-2020
Time Left2809 days 20 hours 52 minutes
StatusclientDeleteProhibited clientTransferProhibited clientUpdateProhibited serverDeleteProhibited serverTransferProhibited serverUpdateProhibited
DNS serversNS3.FACEBOOK.COM   69.63.178.21
NS4.FACEBOOK.COM   69.63.186.49
NS5.FACEBOOK.COM   69.63.176.200
FACEBOOK.COM - Geo Information
IP Address69.171.229.11   69.171.242.11   66.220.149.11   66.220.158.11   69.171.224.37  
Hostfacebook.com
LocationUS US, United States
CityPalo Alto, CA 94304
OrganizationFacebook
ISPFacebook
AS NumberAS32934 Facebook, Inc.
Latitude37°37'62" North
Longitude122°18'26" West
Distance10452.62 km (6494.96 miles)
KAPOOK.COM - Domain Informationnew
DomainKAPOOK.COM   [ Site Info  Traceroute  RBL/DNSBL lookup ]
RegistrarDOTARAI CO,. LTD.
Registrar URLhttp://www.dotarai.co.th
Whois serverwhois.dotarai.com
Created19-Feb-2000
Updated06-Feb-2012
Expires19-Feb-2014
Time Left578 days 20 hours 51 minutes
StatusclientDeleteProhibited clientTransferProhibited
DNS serversNS1.KAPOOK.COM   203.150.224.138
NS2.KAPOOK.COM   203.150.224.137
KAPOOK.COM - Geo Information
IP Address202.183.165.99   202.183.165.23   202.183.165.60  
Hostkapook.com
LocationTH TH, Thailand
City-, - -
OrganizationCS LoxInfo Public COmpany Limited
ISPCS LoxInfo Public COmpany Limited
AS NumberAS9891 CS LOXINFO Public Company Limited.
Latitude15°00'00" North
Longitude100°00'00" East
Distance7803.62 km (4848.95 miles)


RMUTR.AC.TH - Geo Information
IP Address203.158.221.1   203.158.221.4   203.158.221.9  
Hostrmutr.ac.th
LocationTH TH, Thailand
CityPathum Thani, 39 -
OrganizationRajamangala Institute of Technology
ISPRajamangala Institute of Technology
AS NumberAS4621 UNSPECIFIED UNINET-TH
Latitude14°01'35" North
Longitude100°53'05" East
Distance7918.40 km (4920.26 miles)
**ทิปเพิ่มเติม ถ้าหากทราบว่าเพื่อนของเราใช้หมายเลข IP อะไร ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่าตอนนี้เขาใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ที่ใหน โดยป้อนหมายเลข IP ของเพื่อนไปในช่องค้นหาของเวบไซต์ whatismyipaddress.com

แหล่งที่มา